เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2568
เรื่อง การเพิ่มบุญบารมีของอาทิสมานกายกายทิพย์
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วกาย ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกปลดปล่อย ผัสสะ ความเกี่ยวข้องเกาะเกี่ยวในร่างกาย ความรู้สึก ปล่อยวางทิ้งกายไปพร้อมกับความรู้สึกว่าเราตัดร่างกายขันธ์ 5 ในขณะที่ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย ผ่อนคลายปล่อยวาง จนจิตเรารวมตัวเข้าสู่ความสงบ แยกกายแยกจิต แยกรูปนาม แยกกายเนื้อกายทิพย์ อยู่กับจิตของเรา กำหนดรู้ในจิตที่สงบนิ่ง ปล่อยวางภาระของใจทั้งหลายออกไป ความห่วงความอาลัยความวิตกกังวลทั้งหลาย ปล่อยวางจากใจของเราให้หมด วางร่างกายขันธ์ 5 วางภาระของใจ ละวางนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ปล่อยวางทุกสิ่งจากจิตของเรา สงบนิ่งผ่องใส ยิ่งวางยิ่งว่างเบาสงบ
เมื่อเราฝึกฝนปล่อยวางจนเข้าสู่สภาวธรรมอารมณ์ใจที่วางได้วางลง จิตเราก็จะเริ่มชิน เริ่มรู้สึกว่าความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย เป็นเรื่องของความทุกข์ความหนัก ยิ่งยึดยิ่งหนักยิ่งเป็นภาระของใจ ยิ่งวางลงวางได้เร็วมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งปลอดโปร่ง ยิ่งรวมสู่ความสงบ การปล่อยวางนั้นฝึกฝนจนกระทั่งจิตของเราปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย ปราศจากความอาลัยอาวรณ์ วางแล้วยิ่งเบายิ่งสงบ จิตยิ่งเป็นสุข กำหนดปล่อยวางในทุกสิ่ง จดจ่ออยู่แต่เพียงจิตที่นิ่งสงบสว่าง
กำหนดน้อมนึกแห่งจิตของเราเป็นแก้วใสสว่าง ทรงสภาวะน้อมนึกจินตภาพเห็นจิตของเราเป็นแก้วสว่างนั้น ยามฝึกที่เราเห็นจิตเป็นแก้วใส เรากำหนดควบว่าภาพนิมิตของดวงจิตก็คือดวงของกสิณ กำลังอภิญญาจิตตานุภาพของกสิณเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา ทรงสภาวะความถึงพร้อมในอารมณ์กรรมฐาน จิตยิ่งสว่างใสอารมณ์ใจเรายิ่งเป็นสุข ยิ่งเบิกบานยิ่งสว่างขึ้น จากสภาวะที่จิตเป็นแก้วใสสว่างขึ้น ขยายขึ้น ปรับแปรสภาพเป็นปฏิภาคนิมิต จิตกลายเป็นเพชรประกายพรึกระยิบระยับสว่าง
ทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง พร้อมกับอารมณ์ใจเรายิ่งเป็นสุขยิ่งขึ้นสว่างขึ้น จิตเปี่ยมพลังขึ้นเอิบอิ่มล้นจิตล้นใจ แสงสว่างจากจิตปรากฏเป็นเส้นแสงพวยพุ่งออกมาโดยรอบเป็นสีรุ้ง กระแสแสงสว่างสีรุ้งทั้ง 7 สีแผ่กระจายออก ทรงสภาวะจิตที่เป็นเพชรระยิบระยับนี้ไว้ เลยพ้นออกไปจากรัศมีเส้นแสงของจิตปรากฏสภาวะบรรยากาศรายรอบเป็นทิพย์ มีประกายระยิบระยับเหมือนกับมีกากเพชรโปรยปรายรายรอบพร่างพรายอยู่ ทรงสภาวะทรงอารมณ์ทรงอาณาเขตของจิตที่มีจิตตานุภาพจิตอันประภัสสร จิตอันเป็นปฏิภาคนิมิต จิตอันทรงไว้ซึ่งสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ ภาพจิตที่เป็นเพชรสว่าง น้อมนึกย่อเล็กขยายใหญ่ปรับให้สว่างขึ้นละเอียดขึ้นได้ดั่งใจนึกทุกอย่างเลื่อนซ้ายเลื่อนขวาเลื่อนหน้าเลื่อนหลัง ย่อเล็กขยายใหญ่ทำได้ดั่งใจนึก จิตเรามีจิตตานุภาพอยู่เหนือกสิณ จิตเรามีความสว่าง
จากนั้นกำหนดจิตผนวกควบรวมกองของพระกรรมฐาน จิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต เส้นแสงรัศมีที่แผ่ออกออกจากจิต เรากำหนดควบกับกระแสของเมตตา รัศมีของจิตมีความเข้มข้นมีประกายพรึกมีความสว่างอย่างไร คลื่นกระแสแสงสว่างรัศมีของจิต แผ่ออกมาเป็นคลื่นกระแสแห่งเมตตา กระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ อภิญญาจิตของเรา เป็นอภิญญาจิตอันประกอบไปด้วยเมตตา เป็นพื้นเป็นธรรมชาติของใจ อภิญญาจิตของเราเป็นสัมมาอภิญญา เป็นไปเพื่อยังประโยชน์ต่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นอภิญญาที่ยังประโยชน์ในการช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ทั้งหลาย สัมมาอภิญญาอภิญญาจิตของเรา ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน ไม่ได้เป็นไปเพื่อมานะทิฐิถือตัวถือตน ไม่ได้เป็นไปเพื่อการทำร้ายหรือตอบสนองความโลภโมโทสัน แผ่กระแสเมตตากระแสจิต มีความละเอียดเย็นปราณีตผ่องใสสว่าง ทรงสภาวะที่จิตเป็นประภัสสรเต็มกำลัง
เมื่อทรงสภาวะจนจิตมีกำลังทรงตัว เราก็กำหนดจิตอธิษฐานน้อมอาราธนาพุทธานุภาพ ขอกลางดวงจิตของเราที่สว่างเป็นเพชร จงปรากฏภาพพุทธนิมิตคือกำลังของพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า มาสถิตเป็นหนึ่งอยู่กับภาพพระพุทธนิมิตในจิตของข้าพเจ้า ประหนึ่งพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับอยู่กลางใจของเรา จิตเราสิ้นซึ่งวิจิกิจฉาทั้งปวงในคุณพระรัตนตรัย ในพระธรรมคำสอน ในคุณความดีของครูบาอาจารย์พระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ทรงสภาวะที่จิตมีองค์พระสว่างแผ่กระจาย กระแสคลื่นรัศมีของจิต มีทั้งกระแสเมตตาพระพุทธเมตตา มีทั้งกระแสพุทธานุภาพ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะที่จิต กำหนดภาพพุทธนิมิตสว่างนั้น ทรงอารมณ์ไว้ พร้อมกับพิจารณาย้อนทวนการปฏิบัติตั้งแต่ต้น
เริ่มต้นปล่อยวางตัดกาย เราก็กำลังปฏิบัติเพื่อตัดสักกายะทิฏฐิอันเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ตัดกายไม่อาลัยในกายทิ้งกาย พิจารณาต่อไปเราจะทรงฌานสมาบัติ กำหนดจิตแผ่เมตตา เมื่อจิตมีเมตตาปรารถนาปรารถนาที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น ศีลของเราก็บริสุทธิ์ เราก็ตัดศีลพรตปรามาสออกไปจากใจสังโยชน์ข้อที่ 2 พิจารณาต่อไปว่าเมื่อเราทรงภาพพระ เชื่อมั่นศรัทธาในกำลังของพุทธานุภาพพระธรรมคำสอนทั้งหลาย เพื่อมรรคผลพระนิพพาน จิตเราก็ตัดวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยไปจนหมด เราปฏิบัติมาถึงจุดนี้ จะว่าเป็นสมถะหรือจะเป็นวิปัสสนา หรือจะเป็นการตัดสังโยชน์ 3 คือการทรงอารมณ์แห่งพระโสดาบัน ทุกอย่างผสมผสานควบรวมเชื่อมโยงเป็นหนึ่งกันทั้งหมด กำหนดรู้กำหนดเข้าใจใช้ปัญญาพิจารณา ใคร่ครวญเข้าใจในกุศโลบายในการปฏิบัติ ตัดสังโยชน์ทั้ง 3 ทรงอารมณ์แห่งพระโสดาบัน ทรงภาพพระสว่างเป็นประกายพรึก
จากนั้นกำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ทรงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายของเรา จิตที่เป็นดวงแก้วพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพาน ปรากฏสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน เมื่อขึ้นไปแล้วเราก็กำหนดจิต สำรวจตรวจสอบกำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ สัมผัสดูเครื่องทรงเครื่องประดับ สภาวะ ว่าเราอยู่ในสภาวะอะไร เราไม่ใช่ร่างกายเนื้อขันธ์ 5 เราคือกายทิพย์เราคืออาทิสมานกายที่แยกออกมาจากกายเนื้อ ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพพร้อมกับน้อมจิต ก้มลงกราบพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุก ๆพระองค์บนนิพพาน ด้วยอารมณ์ใจที่นอบน้อมอารมณ์ใจที่เคารพ
เมื่อกำหนดจิตน้อมกราบสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทุกท่านบนพระนิพพานแล้ว เราก็กำหนดจิตพิจารณาในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณาว่าเมื่อเราใช้กำลังของมโนมยิทธิ ด้วยพุทธานุภาพพุทธบารมีของพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ กำลังของครูบาอาจารย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ท่านเมตตาสั่งสอนแนะนำจนเราสามารถปฏิบัติจนเข้าถึง ตอนนี้เรายกจิตขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานแล้ว ทุกท่านที่ขึ้นมาดับขันธ์ปรินิพพานเข้าถึงพระนิพพาน ตัวเรายังมีร่างกายกายเนื้ออยู่บนโลกมนุษย์ แต่เราใช้กายทิพย์อาทิสมานกายตัดกิเลสตัดสังโยชน์ตัดขันธ์ 5 ใช้กำลังฌานสมาบัติ พุทธานุภาพอาโลกสิณเป็นกำลังของมโนมยิทธิขึ้นมาบนพระนิพพาน เมื่อขึ้นมาแล้วเราก็ปฏิบัติเพื่อไม่ให้การขึ้นบนพระนิพพานเป็นเพียงแค่สัญญาภาพจำ เราต้องฝึกทุกครั้ง อันนี้ถือว่าเป็นความเข้มข้นในการฝึก ขึ้นมาบนพระนิพพานเมื่อไหร่ พิจารณาตัดภพจบชาติ พิจารณาว่าเรายังมีความพึงพอใจในความเป็นมนุษย์ไหม ตัดทิ้งออกไปตัดภพนั้น เรายังมีความพึงพอใจในความเป็นเทวดาพรหมอรูปพรหมไหม จิตเรามีความไม่ประมาทในการปิดอบายภูมิทั้งปวงด้วยการรักษาศีลไหม พิจารณาตัดภพ แล้วก็น้อมพิจารณาต่อไปว่า จิตเราพิจารณาตัดสังโยชน์เครื่องร้อยรัดจิตไว้กับภพภูมิทั้งหลาย
สังโยชน์ทั้ง 10 มันขาดมันคลายตัว มันบางเบาลงไปจากจิตของเราไหม บางครั้งอารมณ์ที่เราตัด เราก็ตัดข้อที่สูง เพราะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันพื้นฐานสังโยชน์ทั้ง 3 ที่เราจะต้องตัดให้ได้เป็นปกติ มีความสำคัญ
- ตัดกายขันธ์ 5 เราตัดได้ละเอียดไหม มีความเข้าใจลึกซึ้ง ไม่ห่วงไม่กลัวความตายจนเกินพอดีไหม รู้ว่าเราต้องตาย สิ่งสำคัญคือรู้ว่าตายเมื่อไหร่เราจะมาพระนิพพาน และในขณะเดียวกัน
- ศีล ศีลพรตปรามาส เรากำหนดเป็นสิ่งที่ประกอบไปด้วยเมตตาพรหมวิหาร 4 เป็นศีลที่มีความละเอียดขึ้นในกุศลกรรมบถ 10 ไหม
- ส่วนข้อสุดท้ายวิจิกิจฉา จิตเราพิจารณาทั้งในส่วนของความมั่นคงในพระรัตนตรัย ความศรัทธาความเป็นสัมมาทิฐิความไม่ลังเลสงสัย ในการปฏิบัติธรรมในมรรคผลพระนิพพาน สิ่งสำคัญก็คือการเข้าถึงไตรสรณคมน์นั้น ไม่ใช่เพียงสักแต่ว่าเราบอกว่าเรานับถือ หรือการไหว้เป็นการไหว้เป็นการกราบเพียงอาการเพียงกริยาท่าทาง แต่ไม่ได้กราบไม่ได้ไหว้ด้วยความนอบน้อมของจิต อารมณ์จิตในการที่จะเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้จำเป็นจะต้องมีความนอบน้อมอ่อนโยน ซึ่งความนอบน้อมอ่อนโยนนั้น ก็จะไปผูกโยงกับสังโยชน์ข้อที่ 9 ก็คือมานะ ยิ่งนอบน้อมอ่อนโยนมากเท่าไหร่ ทิฐิมานะความถือตัวถือตนความถือดี มันก็จะบรรเทาเบาบางลงไปพร้อมกันมากเท่านั้น
ดังนั้นการที่จิตเราตัดสังโยชน์ สังโยชน์ 3 ข้อ คลายตัวลง จุดนี้ก็ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในการที่จะทำให้อภิญญาสมาบัติก็ดี การปฏิบัติในมโนยิทธิก็ดี ไม่เสื่อม ไม่เฝือ ไม่สลายตัวไป อันนี้ต้องเข้าใจเพราะมีความสำคัญ หลายต่อหลายคนในประสบการณ์ที่อาจารย์ได้พบเจอ หลายคนฝึกจนเก่งจนคล่องตัว มีความชัดเจนแจ่มใสมากกว่าคนทั่วไป แต่ถึงเวลาความตั้งมั่นในพระนิพพาน ความชัดเจนว่ามโนมยิทธิฝึกทำไมเพื่ออะไร ยังขาดความชัดเจน อารมณ์จิตที่ฝึกแล้วได้เร็วได้ง่าย บางครั้งก็กลายเป็นไม่เห็นค่า ไม่เห็นค่าก็เลยไม่รักษา พอไม่รักษาในที่สุดก็เสื่อมก็ห่างก็ถอยไปจากอภิญญาสมาบัติที่ตนเคยได้เคยทำได้ดี
“ดังนั้นสิ่งสำคัญทุกอย่างนั้น ธรรมทั้งหลาย 84000 พระธรรมขันธ์ ล้วนแต่สอดประสานสอดคล้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ถ้าเรามีปัญญาเข้าใจ การปฏิบัติธรรมของเราก็จะก้าวหน้าขึ้น“
สำหรับวันนี้เราก็จะปฏิบัติเจริญปัญญาเจริญวิปัสสนาญาณบนพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการฝึกเป็นการทำความเข้าใจในเรื่องของกายทิพย์
อันที่จริงนั้นคำว่ากายทิพย์เป็นภาษาสากลของการปฏิบัติจิต ทั้งในเขตของพระพุทธศาสนา หรือในเขตพระพุทธศาสนาทุกสาย แต่ถ้าเป็นศัพท์เฉพาะก็เรียกว่าอาทิสมานกาย อาทิสมานกายกับกายทิพย์ก็เหมือนกัน หรือแม้แต่คำว่านามรูป เฉพาะส่วนที่เป็นนามก็คือจิต จิตนั้นอยู่ในสภาวะที่จะปรากฏเป็นศัพท์เฉพาะพลังงาน หรือเป็นดวงก็คือเป็นดวงแก้ว หรือถ้าจิตนั้นแปรเปลี่ยนรูปก็เรียกว่ากายทิพย์
กายทิพย์นั้นจริงๆ แล้วเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์จิต อารมณ์ของจิตขณะนั้น เมื่อไหร่ที่จิตเราคิดร้ายคิดชั่วคิดอกุศล กายทิพย์ก็ไม่สว่างกายทิพย์ก็ทึบก็เศร้าหมอง คิดชั่วมากกายทิพย์ก็เปลี่ยนสภาวะเป็นกายของสัตว์นรกเป็นกายของเปรตอสุรกาย เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเรามีความผ่องใสนึกถึงบุญ กายทิพย์ก็มีความสว่างขึ้น ในโลกของโลกทิพย์ กายทิพย์ที่มีบุญมากมีบารมีมาก ก็จะมีแสงสว่างมากกว่ากายทิพย์ที่มีบุญที่มีบารมีน้อย แสงสว่างหรือรัศมีกาย เป็นเครื่องวัดกำลังของบุญของจิตดวงนั้น รัศมีกายของมนุษย์ทั่วไปธรรมดาน้อยกว่ามนุษย์ที่มีศีลที่มีเมตตา และในขณะเดียวกัน กายทิพย์ของเทวดาก็มีแสงสว่างอันเกิดขึ้นจากบุญแตกต่างกัน เป็นเทวดาที่เคยให้ทานกับมนุษย์ที่ทุศีลกับเทวดาที่มาปรากฏเป็นเทวดาด้วยบุญ จากการถวายสังฆทานมหาทานสร้างพระพุทธรูป ก็ย่อมมีรัศมีกายแสงสว่างมากกว่า เทวดาที่ให้ทานกับบุคคลที่ไม่มีศีล อันนี้คือเรื่องของกำลังบุญ ทำให้จิตอาทิสมานกายมีรัศมีกายมีพลังงานสูงกว่า
และในขณะเดียวกันให้เราทำความเข้าใจเป็นภาษาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต จิตก็คือพลังงาน พลังงานก็คือพลังงานเกิดขึ้นจากบุญและบาป พลังงานที่เกิดขึ้นจากบุญ ก็ขับเคลื่อนจิตดวงนี้ไปยังภพภูมิที่เป็นสุคติภูมิ ถ้าพลังงานเป็นบาป ก็ขับเคลื่อนฉุดกระชากดึงจิตดวงนั้นลงไปสู่ภพที่เป็นทุคติคืออบายภูมิ ในขณะเดียวกันแสงสว่างหรือพลังงานของจิตดวงนั้นกายทิพย์นั้น ๆ เกิดขึ้นได้ด้วยพลังอำนาจแห่งบุญและกุศล คือทาน ศีล ภาวนา การเพิ่มรัศมีของอาทิสมานกายแสงสว่างของรัศมีกาย สามารถทำได้ด้วยโดยสะสมบุญเพิ่มขึ้นสะสมบารมี 30 ทัศเพิ่มขึ้น ทานทำโดยอารมณ์จิตที่ปราศจากความยินดีความผ่องใสความโสมนัส กับกำลังของทานที่เกิดขึ้นด้วยจิตที่มีความยินดีมีความผ่องใสหรือมีกำลังของกรรมฐาน ดั่งที่เราฝึกปฏิบัติกัน เช่นเวลาถวายมหาสังฆทาน เวลาตักบาตร กายเนื้อถวายพระบนโลกมนุษย์ กายเนื้อกายหยาบถวายบนโลกมนุษย์ กายทิพย์อาทิสมานกายยกถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน แต่การที่บุคคลจะสามารถใช้กำลังเช่นนี้ได้ เราปฏิบัติเหมือนง่ายแต่อันที่จริงแล้ว ถ้าสำหรับบุคคลทั่วไปที่เขาไม่ได้กำลังของมโนมยิทธิ ไม่ได้ใช้กำลังของกายทิพย์ การทำเช่นนี้ถือว่ายากมากแทบจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่า เราอยู่ในวิสัยที่เราทำได้ เราก็ใช้กำลังสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการรักษาศีล การถวายทาน การเจริญพระกรรมฐาน ที่กล่าวถึงเรื่องกายทิพย์ ก็เพื่อให้เราใช้ศักยภาพประโยชน์ของการที่เราใช้กายทิพย์มโนมยิทธิได้ เรามีกำลังมโนมยิทธิคือมีกำลังสักร้อยเราใช้ประโยชน์ถึงร้อย หรือใช้ประโยชน์ถึงหมื่นไหม หรือทำได้แต่ไม่เคยใช้ เพราะไม่รู้ว่าทำได้และเกิดประโยชน์มาก
วันนี้เราก็มาศึกษามาพิจารณาทบทวนว่าเราทำแบบนี้ได้ไหม ถวายทานก็พยายามตั้งกำลังใจใช้กำลังมโนมยิทธิอย่างที่บอก กายเนื้อถวายบนโลกมนุษย์กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพถวายพระพุทธองค์บนพระนิพพาน การรักษาศีลกำหนดควบผนวกกับการที่เราเจริญเมตตาให้เป็นปกติ ภาวนาตั้งจิตนับแต่นี้ที่เราได้มโนมยิทธิ เวลาเจริญวิปัสสนาญาณ เวลาเจริญพระกรรมฐาน ทิ้งกายเนื้อยกกายทิพย์ขึ้นมาปฏิบัติบนพระนิพพาน ปฏิบัติที่ไหนปฏิบัติหน้าพระคือหน้าพระพุทธองค์ การเจริญวิปัสสนาญาณจุดใดติดขัดก็ขออาราธนาบารมี ขอกระแสธรรมจากพระพุทธองค์หลั่งไหลลงสู่จิต ให้เราพิจารณาลื่นและลึกซึ้งเข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้ง ถ้าเราทำแล้วเราปฏิบัติอย่างนี้ให้ได้ตลอด ธรรมะที่เราฝึกที่เราปฏิบัติก็จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันนี้คือประโยชน์ของการใช้กายทิพย์
คราวนี้วิธีการเพิ่มพลังของกายทิพย์ วันนี้เราจะคุยกันเรื่องภาคทิพย์ล้วน ๆ วิธีเพิ่มกำลังของกายทิพย์นอกเหนือจากการให้ทาน การกำหนดรักษาศีล การเจริญฌานสมาบัติ ตบะเดชะของฌานสมาบัติ ในสมถะยิ่งสูงมากเพียงไร รัศมีกายยิ่งสว่างเพียงนั้น ฝึกเวลาที่จิตทรงกสิณเป็นปฏิภาคนิมิต ฝึกให้รัศมีแสงสว่างของจิตส่องสว่างได้ไกลมากเท่าไหร่ เอิบอิ่มเป็นสุขได้มากเท่าไหร่ ชัดเจนแจ่มใสได้มากเท่าไหร่ กายทิพย์ยิ่งเพิ่มพูนฝึกฝนการเพิ่มรัศมีกายเพียงนั้น ในฌานสมาบัติสูงกว่าทานหลายเท่า แต่ทานถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ทานเราไม่ใช่แค่ถวายทานเฉยๆเราทรงอภิญญา คือใช้กำลังของสมาบัติยกถวายพระพุทธองค์ด้วย ทานนั้นก็กลายเป็นทานที่ควบผนวกกำลังของภาวนาไปพร้อมกัน อันนี้ให้เราเข้าใจตาม
อย่างกรณีที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ใส่บาตรตักบาตรทุกวันจนกระทั่งขันลงหินสึก ก็ยังไม่เท่านั่งสมาธิแค่เห็นแสงสว่างประดุจฟ้าร้องฟ้าแลบ หรือแสงสว่างน้อยนิดเพียงแค่หัวไม้ขีด บุญมากกว่าพลังงานมากกว่า อันนั้นคือตักบาตรเฉยๆนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราตักบาตรแล้วทรงอภิญญาจิตทรงกำลังมโนมยิทธิ การตักบาตรเราก็พลังมากมายมหาศาล เป็นทานการที่เราตั้งจิตเจตนาถวายตรงต่อพระพุทธเจ้า แล้วก็จำไว้ว่าเมื่อไหร่เราผนวก ทานที่ข้าพเจ้าถวายขอเป็นไปเพื่อพระนิพพาน ถ้าเมื่อไหร่มีสร้อยผนวกนี้ด้วย เมื่อนั้นทานที่เราถวายก็เป็นทานที่เราตัดภพเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นกรรมฐาน ตัวตัดคือตัดภพ คืออธิษฐานคือจิตตั้งมั่นกับพระนิพพาน ดังนั้นอันที่จริงทานศีลภาวนา เวลาที่เราทำคนที่มีปัญญาคนที่มีกำลังใจคนที่มีกำลังกรรมฐาน เราสามารถที่จะยกขึ้นให้สูงกว่า เฉพาะการที่เราถวายทานเป็นปกติได้
คราวนี้ส่วนต่อมาที่จะอธิบายต่อนอกเหนือจากฌาน กำลังฌานทำให้รัศมีกายกายทิพย์มีพลังเพิ่ม เราก็คิดเอาง่ายๆ เหตุในการทำให้จิตมาเสวยบุญมาจุติยังภพต่างๆ ยิ่งภพสูงขึ้น อายุขัยของความเป็นทิพย์ในภพนั้นก็ยาวนานขึ้น อากาศเทวดามีอายุความเป็นทิพย์มากกว่ารุกขเทวดามากกว่าภุมเทวดา ในขณะเดียวกันพรหม พระพรหมท่านก็มีอายุความเป็นทิพย์ยาวนานกว่าอากาศเทวดา และในขณะเดียวกันอรูปพรหมก็มีอายุความเป็นทิพย์นานกว่าพรหม ดังนั้นยิ่งภพที่สูงขึ้นไป อายุความเป็นทิพย์ที่อยู่ก็คือกำลังของบุญที่หล่อเลี้ยงให้ยังสามารถทรงตัวอยู่ในภพภูมินั้น ๆได้ พลังงานยิ่งมากเท่าไหร่อายุขัยความเป็นทิพย์ก็นานเท่านั้น เราฝึกฌานสมาบัติบำเพ็ญตบะเป็นชั่วโมงบินนานเท่าไหร่ อายุขัยที่จะทำให้ถ้าเราปรารถนาจะไปเกิดเป็นพรหมก็นานเท่านั้นเช่นกัน รัศมีกายก็สว่างนานเท่านั้น อันนี้คือตบะกำลังของฌานสมาบัติ ตั้งแต่ฌานสี่ การฝึกกสิณ ไปจนกระทั่งถึงอรูปสมาบัติ และในความเป็นพรหม หรือกำลังของจิต แสงสว่างของจิต ก็มีอีกวิสัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มพูนรัศมีกายรัศมีจิต นั่นก็คือการเจริญเมตตาพรหมวิหาร 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาอัปปันนาณฌาน ยิ่งแผ่เมตตาต่อมวลหมู่สรรพสัตว์สามโลกสามภพภูมิ แผ่ได้มากเท่าไหร่ก็แปลว่ารัศมีของกายทิพย์คลื่นกระแสจิตของเรา มีรัศมีสว่างกว้างไกลเพียงนั้น อันนี้ให้เราพิจารณาดู ยิ่งกำลังของเมตตาฌานสูง รัศมีกายก็แผ่ไปสูง
อย่างประสบการณ์ของอาจารย์เองสมัยก่อน สอนแนะนำให้คนแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน มีคนมากมายหลายคนที่แผ่เมตตาไปได้แค่ใกล้ ๆ ตัวไม่เกิน 1 เมตร ไม่สามารถแผ่เมตตาไปได้ไกลกว่านั้น อันนี้คือสุดกำลังของเขาแล้ว ตรงจุดนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจ ในภายหลังคนปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพาะบ่มบำเพ็ญบารมีสูงขึ้น อาจารย์พบเจอคนที่คู่ควรกับธรรมะที่สั่งสอนแนะนำมากขึ้น กำลังใจในการแผ่เมตตาก็สูงขึ้น ทำได้กันเป็นปกติ อันนี้คือเรื่องรัศมีกายอันเกิดขึ้นจากการแผ่เมตตาการเจริญเมตตา อันนี้สำหรับคนที่สวดมนต์ ถ้าสวดมนต์เฉยๆ ผลก็เป็นกำลังในระดับของอากาศเทวดาชั้นยามา แต่ถ้าเมื่อไหร่สวดมนต์พร้อมกับทรงอารมณ์จิตเห็นจิตแผ่สว่าง กระแสเสียงเป็นคลื่นเป็นกระแสเมตตาไปพร้อมกับการสวดมนต์ อันนี้ก็กลายเป็นกำลังของพรหม กำลังของฌานสมาบัติ กำลังของเมตตา ดังนั้นการสวดมนต์ก็เพิ่มกำลังได้
ทำความเข้าใจว่าในเมื่อเราทำความเป็นทิพย์ให้ปรากฏขึ้นได้ใช้กายทิพย์ได้ เราไม่ใช้นี้ถือว่าเสียดาย เป็นมหาเศรษฐีที่ไม่รู้จักใช้เงิน จงฉลาดใช้กำลังกรรมฐานให้เกิดประโยชน์ เกิดกำลังบุญเกิดกำลังบารมี เพราะสุดท้ายจะไปพระนิพพานได้ก็ต้องอาศัยรวบรวมกำลังบุญกำลังบารมีนั้น ยิ่งเราปฏิบัติเร่งรัดเพิ่มพูนยกระดับ เราก็ยิ่งเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วขึ้นง่ายขึ้นเพียงนั้น ปฏิบัติเกิดผลอานิสงส์สูง พยายามปฏิบัติเช่นนั้นสำหรับคนที่ฝึกเมตตาสมาธิ
คราวนี้ส่วนสุดท้ายในการเพิ่มกำลังรัศมีของจิตคือพลังงานของจิต นั่นก็คือยิ่งบริสุทธิ์ จิตยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งมีพลังงานสูง คำว่าบริสุทธิ์ของจิตนั้นก็คือ จิตที่ตัดสังโยชน์ตัดกิเลสเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ย่อมมีความบริสุทธิ์มีกระแสมีพลังงานมีตบะเดชะบารมี สูงกว่าบุคคลที่ท่านไม่ได้ขัดเกลากิเลส ดังนั้นการที่เราตัดสังโยชน์ให้มาก ตัดกายให้มาก ตัดภพจบชาติให้มาก กำลังจิตความชัดเจนความถูกต้องในญาณเครื่องรู้ ความสว่างของรัศมีจิตยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเพียงนั้น ซึ่งเราที่เราปฏิบัติกันก็ถือว่าครบองค์ประกอบอันสำคัญทั้งหมด
ดังนั้นก็ขอให้เราทุกคนพยายามฝึกพยายามซักซ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราขึ้นมาบนพระนิพพาน ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จงพยายามกำหนดฝึกซ้อมทั้งในส่วนของ 1 การพิจารณาตัดสังโยชน์ซ้ำ ตัดขันธ์ 5 ร่างกายตัดสังโยชน์ 10 ซ้ำ พิจารณาทบทวนตัดภพจบชาติ พิจารณาในความแนบอยู่กับพระนิพพาน ความพอใจคือธรรมฉันทะว่าจิตเราพึงพอใจกับพระนิพพานไหม ความแนบนั้นมันมีผลกับการที่จิตเราจะดึงดูด เหมือนกับเป็นเรื่องของกฎของแรงดึงดูด ยิ่งพอใจกับพระนิพพาน ยิ่งรักพระนิพพาน ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน จิตในระดับของจิตใต้สำนึกก็จะดึงดูดว่า สุดท้ายเราตายเมื่อไหร่เราจะไปไหน เราก็จะมาพระนิพพานโดยที่ว่าไม่มีความลังเลสงสัย ไม่มีความยั้งตัว ไม่มีความติดขัดแต่อย่างใด ความคิดว่าเราจะมาได้ไม่ได้ไม่มีในจิตเราอีกต่อไป ดังนั้นต้องทบทวนธรรมฉันทะในใจเราด้วยทุกครั้งเวลาที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน
สุดท้ายอารมณ์ที่บอกในเรื่องของรัศมีกาย ทบทวนทำความรู้สึกในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้ชัดเจน จากนั้นเปล่งประกายรัศมีจิตในสภาวะของกายพระวิสุทธิเทพ ตอนนี้ก็ให้เราทำกัน กายเป็นเพชรใสละเอียดอย่างที่สุด เครื่องประดับชัดเจนอย่างที่สุด รัศมีกายสว่างแผ่สว่างกระจายเจิดจ้าเจิดจรัสอย่างที่สุด อารมณ์จิตเสวยอารมณ์วิมุติบนพระนิพพาน นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ให้จิตเป็นสุขอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด จุดนี้จะเป็นการฝึกที่ทำให้อารมณ์ใจยิ่งเกิดธรรมฉันทะบนพระนิพพาน อารมณ์ความรู้สึกเราจะรู้สึกได้ว่า เราที่สุดท้ายของเราที่อยู่ของเราที่แท้จริงคือพระนิพพาน ไม่ใช่ภพอื่นภูมิอื่นอีกต่อไป
แล้วก็สมัยก่อนอาจารย์เคยสอนหรือเคยนำฝึกสมาธิ เวลาที่ใช้กำลังมโนมยิทธิไปยังภพอื่น ไปสวรรค์ก็ให้ใช้กายที่เป็นกายของเทวดาในภพนั้น พรหมก็ให้เป็นกายของพรหมในภพนั้น สุดท้ายสมเด็จท่านเมตตาแนะนำมาว่า การฝึกแบบนั้นก็ดีเป็นการที่เราให้เกียรติและกำหนดรู้ในความเคยชินว่าเมื่อเราอยู่ในภพนี้ สภาวะอารมณ์ความคิดอุปนิสัยของเทวดาหรือพรหมในชั้นนั้นๆ ก็จะเป็นเช่นนี้ คือเข้าใจ เข้าใจในวาระจิตของภพนั้นภูมินั้นอย่างชัดเจน แต่ถึงเวลาเมื่อปฏิบัติจนถึงขั้นที่เราปรารถนาพระนิพพานอย่างมั่นคงแนบแน่นแล้ว ให้เราไม่ว่าจะไปภพใดภูมิใด เราทรงอารมณ์แต่สภาวะว่า เราปรากฏเป็นกายเพราะสุเทพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะคติที่ไปของเราคือพระนิพพานเพียงจุดเดียวแล้ว ไม่ต้องไปอยู่ในสภาวะนั้นของภูมินั้น ๆ เพราะไม่เช่นนั้น เช่นในยามที่เราไปเที่ยวในภพของพญานาค เราปรากฏกายเป็นกายพญานาค บางอารมณ์เราก็เผลอยินดีพอใจกับภพนาค เผลออาลัยเผลอเสียดายกับความเป็นนาค ดังนั้นเมื่อไหร่เราไปภพอื่น เราไปภพพญานาค แต่เราก็ไปเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จิตเราจะมีความเฉยมีอุเบกขารมณ์ ต่อสภาวะต่อความเป็นไปในภพนั้น เพราะเรารู้สึกแล้วว่าเราปรารถนาเราตั้งจุดไว้จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุด
ดังนั้นนับแต่นี้ต่อไป ให้เราฝึกที่จะปฏิบัติทรงสภาวะความชัดเจนจากความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสถานเดียวให้เข้มข้น หรือแม้แต่สภาวะที่เราอยู่บนโลกมนุษย์ไม่ได้ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานหรือไปภพอื่น ให้เราลองทำความรู้สึกว่ากายทิพย์ไม่ได้อยู่ในกายเนื้อ คำอุปมาเวลาที่เราฝึกถอดกายทิพย์ ท่านอุปมาว่าเหมือนกับร่างกายนี้เป็นโพลงดักถ้ำ จิตอยู่ภายใน ถึงเวลาก็กำหนดจิตชักหญ้าปล้อง พุ่งออกไปทางปลายไปทางเหนือศีรษะ กายทิพย์ที่อยู่ภายในกายเนื้อ พุ่งออกไปเหมือนชักหญ้าปล้อง แต่คราวนี้ท่านให้ฝึก เมื่อไหร่ที่กายทิพย์เราอยู่ในการกักขังควบคุมครอบคลุมด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าเราคือกายเนื้อ ศักยภาพของจิตอภิญญาจิตของเราก็ถูกกักขังไว้ด้วยขอบเขตข้อจำกัดของการมีกายเนื้อด้วยเช่นกัน กายเนื้อเดินทะลุกำแพงไม่ได้ แต่กายทิพย์ทะลุกำแพงทะลุประตูได้ กายเนื้อต้องเดินทางจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งใช้เวลานาน กายทิพย์พุ่งไปเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียวก็ถึงจุด บางครั้งแทบยังไม่นึกก็ถึงแล้ว
ดังนั้นขอบเขตข้อจำกัด อยู่ที่เราถูกกักขังอยู่กับความเชื่อความยึดของการเป็นกายเนื้อ อันนี้พระท่านก็ให้อุบายในการปฏิบัติมาว่า ในเมื่อแต่ก่อนเราถูกขังอยู่ในกายเนื้อ กายทิพย์เราเคยถูกขังอยู่ ตอนนี้เราลองออกมา เราทำสภาวะว่า กายพระวิสุทธิเทพของเราเองนั่นแหละ คลุมกายเนื้อเราอยู่ กายแก้วที่เป็นเพชรใส ภายในมีกายเนื้ออยู่สลับที่กัน กายทิพย์มีอำนาจขอบเขตอย่างไร ก็นำพากายเนื้อไปได้ กายทิพย์เดินทะลุกำแพงไปได้ ก็พากายเนื้อที่มันอยู่ข้างในนี่แหละ ทะลุกำแพงไปด้วยกันได้ อันนี้ท่านสอนอันที่จริงก็ถือว่าเริ่มขยับเข้าสู่ การเตรียมเข้าสู่อภิญญาใหญ่เต็มที ให้พยายามฝึก อันนี้ถือว่าเป็นแนวทางพิเศษ ฝึกให้เห็นว่ามีกายพระวิสุทธิเทพคลุมกายเนื้อเราตลอดเวลา ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่ฝึกๆไป ให้รู้สึกว่ามีกายพระวิสุทธิเทพคลุมอยู่ตลอดเวลา สัมผัสได้ถึงธำมรงค์ กำไลข้อมือ รัดเกล้ารัดกร ชฎาอุบะเครื่องทรงทับทรวงทั้งหลาย รู้สึกถึงได้ตลอดเวลา
คราวนี้สิ่งต่างๆเราลองฝึกต่อไป อันนี้ฝึกภายใน เวลาฝึกในสภาวะของการเป็นกายทิพย์บนโลกมนุษย์ เวลาฝึกเราก็ไม่ต้องไปบอกไม่ต้องไปเล่า ทำในจิต นับแต่นี้ลองฝึกที่หยิบจับสิ่งใดสิ่งนั้นเป็นเพชรพรึบขึ้นมา เป็นกสิณเป็นเพชรพรึบขึ้นมาตลอด ยกถังสังฆทานแค่จับปุ๊บ กำหนดฝึกโดยไม่ต้องนึกไม่ต้องจินตภาพ แตะปุ๊ปรู้สึกสิ่งนั้นกลายเป็นเพชรกลายเป็นทิพย์ขึ้นมาทันที หยิบจับสิ่งใดก็กลายเป็นทิพย์กลายเป็นเพชร หยิบจานอาหารจะทานก็กลายเป็นเพชร ฝึกที่จะกำหนดเช่นนี้ไว้ในใจของเรา
ไม่ต้องไปเล่าไม่ต้องไปโอ้อวด สำหรับคนที่เขาไม่ได้ฝึก หรือแม้แต่สายอื่นที่เขาไม่ได้ทราบ ไม่ได้ฝึก เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่า เล่าเฉพาะภายใน ฝึกเฉพาะภายใน กำหนดรู้ของเรา เป็นความเข้มข้นของเรา นั่นก็คือเราฝึกจิตทรงสภาวะในความผ่องใสในกสิณตลอดเวลา แล้วก็ผนวกไว้เสมอว่า เมื่อไหร่ที่เราหยิบจับสิ่งใดเป็นเพชรเป็นแก้ว สิ่งนั้นก็เป็นบุญเป็นกุศลเป็นความดี เราหยิบจับสิ่งใดเป็นกุศล เราก็จะไม่ทำบาป ไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศลอีกต่อไป หยิบจับสิ่งใดเป็นทิพย์ทุกอย่าง ความศักดิ์สิทธิ์อภิญญาจิตก็เพิ่มพูนขึ้น กระแสรัศมีกายที่เราฝึกมากเพียงใดก็เป็นกระแสของเมตตา เป็นกระแสของสัมมาทิฐิ ไม่หลุดไม่เฝือไม่เป๋ กลายเป็นมิจฉาทิฐิไปได้ อันนี้คือสิ่งสำคัญก่อนที่จะเข้ายุคอภิญญาใหญ่ ถ้าคนยังไม่เข้าสู่สัมมาทิฐิได้อภิญญาใหญ่ไป ก็สุดท้ายใช้ฤทธิ์เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตัวเอง แต่เมื่อไหร่ที่จิตตั้งมั่นตรงแล้วในสัมมาทิฐิ ในเมตตา ในพรหมวิหาร ในจิตแห่งอริยเจ้าในอริยภูมิ อภิญญาสมาบัติที่ถูกใช้ อภิญญาใหญ่ ก็จะใช้ไปในทางที่ถูกต้อง ถึงจะเข้าสู่ยุคอภิญญาใหญ่อภิญญาสาธารณะได้ ดังนั้นตราบที่ยังวางกำลังใจไม่ตรง อภิญญาใหญ่ก็ไม่อาจขึ้นได้
ตอนนี้ก็ขอให้เราทำความเข้าใจ ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดอธิษฐานจิตตั้งมั่น ว่าเราตายเมื่อไหร่ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราปรารถนาพระนิพพานเพียงจุดเดียว ขอความผ่องใส ขอความตั้งมั่นของจิต จงมีความชัดเจนอัศจรรย์ เมื่อทรงอารมณ์จิตเราดีแล้วก็อธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธเจ้าขอกระแสบุญจากพระนิพพาน แผ่ลงมาผ่านกายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพเรา แผ่เมตตาลงมายังภพภูมิทั้งหลาย อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้นอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น รุกขเทวดาภุมเทวดาทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว แผ่เมตตาให้กับมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อทั่ววัฏสงสาร แผ่เมตตาแสงสว่างบุญกุศล ไปยังดวงจิตของโอปปาติกะสัมภเวสีทั่วอนันตจักรวาล เมืองบังบดลับแลมิติทับซ้อน ก็ขอให้ได้รับบุญกุศล แผ่เมตตาให้กับดวงจิตของเปรตอสุรกายทั้งปวง แผ่เมตตาให้กับดวงจิตดวงวิญญาณของสัตว์นรกทั้งหลายในทุกขุม
จากนั้นน้อมอธิษฐาน ขอกระแสบุญกระแสกุศลความดี บารมีของพระพุทธเจ้า พุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ น้อมรวมลงมายังชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอราชอาณาจักรสยาม จงพิทักษ์รักษา เกิดสันติสุขสันติภาพ ปลอดภัยจากศึกสงครามทั้งภายในและภายนอกประเทศ ขอกำลังพุทธานุภาพคุ้มครองทหารหาญกล้าของแผ่นดิน ขอชาติจงเป็นปึกแผ่น ขอบุคคลผู้มีจิตสำนึกจงรักภักดีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จงมีกำลัง จงมีอำนาจ จงมีบารมี จงมีตบะเดชะอยู่เหนือเหล่าอชนทั้งหลาย พาลชนทั้งหลายจงพ่ายแพ้ไปด้วยผลของกรรมวิบากกรรมที่ตนทำไว้
จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาเป็นกำลังบุญเป็นกำลังพุทธานุภาพ พิทักษ์รักษาพุทธอาณาจักรเขตพระพุทธศาสนา ขอกระแสธรรมกระแสสัมมาทิฐิหลั่งไหลลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ขอพุทธานุภาพเป็นลำแสงส่องตรงลงมายังวัดวาอารามทุกแห่ง พระพุทธรูปทุกองค์ พระเครื่องวัตถุมงคล ผ้ายันต์ผ้าประเจียดตะกรุด เครื่องรางของขลังทั้งหลาย จงสลายอวิชชาคุณไสย อวิชชามนต์ดำความมืดบอดคำสาปแช่งจงสลายตัว ขอจงมีแต่เมตตา จงมีแต่พุทธานุภาพ จงมีอำนาจอิทธิฤทธิ์ในกำลังที่จะคุ้มครองบุคคลผู้เป็นสาธุชนคนดีให้รอดปลอดภัย
น้อมกระแสบุญจากพระนิพพานลงมาพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอกำลังบุญกุศลขอน้อมลงมาอภิบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนบุคคลผู้ทำประโยชน์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กำลังบุญจงน้อมส่งผลถึงเทวดาผู้พิทักษ์รักษาพระบรมมหาราชวัง พระมหาเศวตฉัตร พระราชบัลลังก์ พระตำหนักทุกพระตำหนัก กำลังบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์ จงปรากฏต่อดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ มีกำลังคุ้มครองบ้านเมือง กำลังบุญกุศลบารมี ขอจงน้อมส่งผลให้เกิดบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์พรหมฤทธิ์ ต่อพระสยามเทวาธิราชเจ้า พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี ขอจงมีกำลังคุ้มครองชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยเทอญ
จากนั้นน้อมจิต เมื่อเราใช้กำลังภาคทิพย์ยังประโยชน์ต่อสาธารณะ คือชาติศาสนาพระมหากษัตริย์แล้ว เราก็น้อมจิตยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน กราบลาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ กราบลาหลวงพ่อ กราบลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตามาปรากฏ ด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ จิตเอิบอิ่มมั่นคงอยู่กับพระนิพพาน
จากนั้นพุ่งจิตกลับลงมาบนโลกมนุษย์ กำหนดให้เห็นกายพระวิสุทธิเทพคลุมกายเนื้อของเรา มีชฎามีเครื่องประดับมีความเป็นแก้ว ข้างในมีกายเนื้อภายนอกเป็นกายทิพย์ จากนั้นอธิษฐานอาราธนา ขอกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานลงมา ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ขอจงชำระล้างผมขนเล็บฟันหนัง ธาตุหยาบจงกลายเป็นธาตุละเอียดจงเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ โครงกระดูกจงกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ หลอดเลือดเส้นเอ็นจงเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ เซลล์ทุกเซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วนอาการ 32 อวัยวะภายใน จงเป็นแก้วใสทั้งหมด ธาตุธรรมฟอกทั้งกายเนื้อและกายทิพย์ ให้ยิ่งสว่างใสขึ้นเป็นแก้วไปทั้งหมด โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายสลายตัวไป พิษโรคทั้งหลายสลายตัวไป เซลล์ที่ผิดปกติทั้งหลายสลายตัวไป ทั้งกายเนื้อกายทิพย์มีแต่ความสะอาดบริสุทธิ์หมดจดผุดผ่อง สว่าง สายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมีจงเปิดสว่าง กำลังกายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพจงปรากฏ สถิตคลุมคุ้มครองมีอำนาจพลังจิตตานุภาพกำลังความเป็นทิพย์อยู่เหนือกายเนื้อด้วยเทอญ
ตอนนี้ยังทรงได้อยู่นะเป็นปกติ จากนั้นกำหนดจิตหายใจเข้าออก 3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ พร้อมกับอารมณ์ใจเราผ่องใสเป็นสุข โมทนาบุญกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่มาฝึกปฏิบัติพร้อมกันกับเรา และมาฟังในภายหลัง ในสื่อช่องทางต่างๆ เพื่อนทรงอารมณ์ได้ฌานสมาบัติทรงอารมณ์พระนิพพาน ตัดกิเลสตัดสังโยชน์ บุญนั้นมากมายมหาศาล เราโมทนาบุญทุกคนบุญก็เพิ่มพูนมาศาล จากนั้นจึงค่อยๆถอนจิตช้าๆจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุข
สำหรับวันนี้ก็ขอประชาสัมพันธ์ในเรื่องของการจัดปฏิบัติภาวนาเมตตาสมาธิในวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม ที่จะถึงเต็มวัน ช่วงเช้าก็อาจจะมีโอกาสพิเศษในการจัดบวงสรวงบอกกล่าวในการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ท่านใดที่มาเช้าก็เชิญร่วมพิธีบวงสรวงได้เป็นบวงสรวงย่อยๆเล็กๆ เป็นการบอกกล่าว แล้วก็ท่านใดมีจิตศรัทธาจะนำอาหารขนมมาร่วมเป็นโรงทานก็สามารถนำมาได้ในวันนั้นได้เลยนะครับ น่าจะมีคนที่ walk in เข้ามาเพิ่มเติมบ้างจากที่ลงทะเบียนไปแล้วเต็มในวันเดียว
แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งที่จะประชาสัมพันธ์ก็คือ การจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตนิพพาน ตอนนี้ก็ได้กำหนดการทั้งในส่วนของการจัดหล่อการจัดสร้าง ซึ่งเดี๋ยวก็จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบในงานวันที่ 16 รวมถึงเริ่มที่จะรับบริจาคสำหรับคนที่ต้องการร่วมบุญในการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนด้วย สำหรับตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สำหรับใครที่ยังเขียนแผ่นทองตกค้างอยู่ ก็ขอให้รวบรวมมาได้ แล้วก็ในขณะเดียวกันถ้าใครมีโอกาสมีวาระได้กราบได้พบเจอครูบาอาจารย์ จะเป็นสายหลวงพ่อพระราชพรหมญาณก็ดี หรือว่าเป็นพระสุปฏิปันโนสายอื่นก็ดี สามารถที่จะขออนุญาตนำแผ่นทองให้ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาจารให้เพื่อร่วมหล่อ ถ้ารวบรวมแผ่นทองจากครูบาอาจารย์ให้ก็รบกวนเขียนด้วยว่าเป็นครูบาอาจารย์ท่านมีนามว่าอะไรวัดใด ถ้าเป็นไปได้ถ่ายรูปขอกราบอนุญาตท่านเมตตาขอถ่ายรูปท่านด้วยก็ดี เพราะว่าจะได้รวบรวมเป็น Profile ในการจัดสร้างทั้งหมด
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน จริงๆสำหรับวันนี้ถ้าใครเข้าใจสิ่งที่สอนอย่างละเอียด การปฏิบัติของเราก็จะยิ่งก้าวหน้าขึ้น จะสามารถสัมผัสได้ว่า การกำหนดจิตความเป็นทิพย์ต่างๆของเรา มันเป็นจิตที่ทรงอภิญญาขึ้น คือนึกคิดสิ่งใดก็ได้ดั่งที่ใจนึก อันนี้ก็จะได้ผลเป็นปัจจัตตังขึ้นอยู่กับความเพียรความผ่องใสความตั้งมั่นของแต่ละบุคคล
ก็ขอให้เราเมื่อได้แนวทางในการปฏิบัติไปแล้วก็ทำให้ยิ่งขึ้นทำให้เจริญขึ้น แล้วก็อย่าลืมว่าการปฏิบัติเราเป็นไปมีคติที่ไปคือพระนิพพาน พยายามตั้งธงให้มั่นคงไว้ ไม่หลุดไม่เป๋ไม่พลิกจิตพลิกใจของเราจากสัมมาเป็นมิจฉา เป็นมิจฉาอย่างไรก็มิจฉาปล่อยเขา ของเราเป็นสัมมาเราก็จะเป็นสัมมาทิฐิตราบจนเข้าถึงพระนิพพาน ไม่หลุดไม่เป๋ไม่หวั่นไหว
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้เราทุกคนมีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรม มีความผ่องใสขึ้นมีความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสมากขึ้น มีความตั้งมั่นในพระนิพพานมากขึ้น ทุกคนทุกท่านด้วยเทอญสาธุ
สำหรับวันนี้ สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณรัตนา